"กรรมการจิตอาสา" จ.อุดรธานี มุ่งมั่นพัฒนาเด็กด้วยใจ
ถิ่นกำเนิดของ “ต้นโคคลาน” พบที่บริเวณหมู่บ้านโคคลาน ตำบลโคกสูง อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี ปัจจุบัน เป็น หมู่บ้านโคคลาน ตำบลโคคลาน จังหวัดสระแก้ว ประวัติความเป็นมาของบ้านโคคลาน ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2510 ในขณะนั้นได้มีพ่อค้าวัวได้ไล่ต้อนวัวมาจากภาคอีสาน จากการบอกเล่าของคนที่มาตั้งรกรากอยู่แรก ๆ ได้เล่าต่อๆ กันมาว่า พวกเขาอพยมเพื่อมาตั้งหลักแหล่งประกอบอาชีพและหาที่ทำกินเป็นของตนเอง เนื่องจากบ้านเดิมที่อยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเขาไม่มีที่ดินทำกิน พอมาถึงที่บ้านโคคลาน ตำบลโคคลานในปัจจุบัน ซึ่งแต่ก่อนยังไม่ได้ใช้ชื่อนี้ พวกเขาได้เห็นพ่อค้าต้อนฝูงวัวมามากมาย เมื่อมาถึงบริเวณเชิงเขาคันนาด้านที่มีทางขึ้นเขาชันมาก และวัวเดินทางไกลจึงเมื่อยและอ่อนล้า จึงไม่สามารถเดินทางขึ้นเขาได้ แต่เมื่อสังเกตุว่า วัวได้พากันกินพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่บริเวณนั้น จึงสามารถฟื้นพละกำลังได้เร็วกว่าปกติ จึงได้ลองขุดพืชชนิดนั้นขึ้นมา แล้วนำมาทดลองต้มน้ำดื่มดู ปรากฎว่าอาการปวดเมื่อยก็คลายปวดลดลงได้ จึงพากันเรียกตามที่วัวกินแล้วคลานขึ้นเขาได้ว่า “ต้นโคคลาน” และผู้ที่มาตั้งหมู่บ้านจึงตั้งชื่อบ้านตามชื่อพืชชนิดนี้ว่า “บ้านโคคลาน” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา
หมอยาแผนไทยในยุคสมัยก่อน จึงนิยมเอาต้นโคคลาน มาเป็นยารักษาโรคหลายอย่าง โดยใช้เถากับรากปริมาณเท่า ๆ กัน นำไปต้มน้ำจนเดือด แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 1-2 เวลา ตอนไหนก็ได้ เพื่อเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้เส้นตึง ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงโลหิต นอกจากชื่อ “โค-คลาน” แล้ว ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีว่า ต้นกระดอหดใบขน และในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ต้นกูเราะเปรียะ ปัจจุบัน ต้นโคคลาน จะมีการปลูกเพื่ออนุรักษ์ เฉพาะตามสวนสมุนไพรขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ตามป่าตามเขา ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติจะพบน้อยมาก
โครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ. จังหวัดสระแก้ว เห็นว่าต้นโคคลานนี้ มีประโยชน์ทั้งในด้านที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชนตำบลโคคลาน เพราะเปรียบเสมือนเป็นรากเหง้าที่มาของชื่อชุมชน อีกทั้งยังมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ทางด้านสมุนไพร จึงได้ไปหาพันธุ์ต้นโคคลานมาให้เด็ก CCF และเด็กในชุมชนได้ทดลองปลูก เพื่อที่จะนำไปต่อยอดและขยายพันธุ์ให้ทุก ๆ ครอบครัวของเด็ก CCF ได้ปลูกกัน เพราะนอกจากสมุนไพรนี้จะกลายเป็น “ยากาย” ที่ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยของคนในชุมชน ยังเป็น “ยาใจ” ที่จะช่วยให้เด็กได้รู้จัก “รากเหง้า” ของตัวเองอีกด้วย“กรรมการ” ทำงานเหมือนเป็นหู เป็นตา เป็นปากเป็นเสียงในการทำงานให้กับพื้นที่ดำเนินงานของมูลนิธิฯ เช่น การสะท้อนปัญหาเด็กและเยาวชน ชุมชน โรงเรียน การจัดเก็บข้อมูลเด็ก การจัดกิจกรรมในเขตบริการ รวมถึงการช่วยเตรียมสถานที่ ปัด กวาด เช็ดถู หาน้ำดื่ม ขนมไว้เป็นอาหารว่างให้กับเด็ก ๆ ทุกครั้งที่มาร่วมกิจกรรมอบรมต่าง ๆ ของมูลนิธิฯ ซึ่งทุกคนทำโดยไม่ได้หวังค่าตอบแทน เพราะสิ่งที่ได้รับนั่นก็คือ ความอิ่มอก อิ่มใจ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเด็ก ๆ
โครงสร้างการดำเนินงานในพื้นที่ดำเนินงานของมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.ฯ ใน 34 จังหวัด ซึ่งแต่ละพื้นที่ดำเนินงานมีกรรมการบริหารโครงการ (กกบ.) กรรมการเขตบริการ (กกข.) หัวหน้ากลุ่มย่อย (กย.) เป็นตัวแทนจากกลุ่มผู้ปกครองเด็กมาร่วมเป็นกรรมการ ทำงานสนับสนุนและขับเคลื่อนการดำเนินงานของสำนักงานโครงการฯ ในเรื่องต่าง ๆ หากนับระยะเวลาการทำงานของแต่ละท่านที่ได้ทุ่มเทและเสียสละเวลายาวนานไม่น้อยกว่า 10 ปี ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ เพื่อเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ชุมชน และโรงเรียน ฯลฯ
คุณวารุณี กว้างขวาง ประธานกรรมการบริหารโครงการฯ ในพื้นที่ดำเนินงานบ้านดุง จ.อุดรธานี เล่าด้วยความสุขใจว่า “ความภาคภูมิใจ คือ การได้ช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็ก ได้เห็นเด็ก ๆ ในชุมชนได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิฯ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้มีโอกาสทำงานถวายแด่องค์กรมสมเด็จพระเทพฯ ที่เป็นองค์อุปถัมภ์ มูลนิธิฯ”
คุณอนงค์ หมุนศรี กรรมการเขตบริการตำบลบ้านดุง “การได้ช่วยเหลือเด็กพิการหรือเด็กเจ็บป่วยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่วยเหลือครอบครัวที่เขากำลังยากลำบากได้มาก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย เด็กได้ไปหาหมอและได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บป่วยก็ช่วยบรรเทา เราก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นผู้ให้ ได้เป็นส่วนหนึ่งของ ซี.ซี.เอฟ. ก็อยากจะทำหน้าที่เป็นจิตอาสาต่อไปเพราะมีความสุขที่ได้ทำเพื่อคนอื่นค่ะ”
คุณหนูพิตร อุตมะมูล กรรมการบริหารโครงการ (กกบ.) เขตบริการโพนสูง เล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจว่า “อยากทำงานไปกับ ซี.ซี.เอฟ. ไปนาน ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหน ถึงไม่ได้เป็นกรรมการบริหารโครงการ แล้วก็จะทำงานเพื่อเด็กจนทำงานต่อไม่ไหว เรื่องราวที่ประทับใจที่สุดในการทำงานร่วมกับ ซี.ซี.เอฟ. ก็คือได้ช่วยเหลือเด็กและครอบครัวเด็กโดยเฉพาะเด็กกองบุญฯ 1 ราย น้องเป็นเด็กพิการซ้ำซ้อน มูลนิธิฯ ได้รับเข้าดูแลและช่วยเหลือ ทั้งซ่อมแซมบ้าน มอบข้าวสารอาหารแห้ง อาหารเสริมให้น้องอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทุกครั้งที่ตนเองลงพื้นที่ก็จะแวะเยี่ยมน้อง เห็นเด็ก ๆ เป็นเหมือนลูกหลานของตนเอง ดีใจที่ได้เห็นเด็กมีชีวิตที่มีความสุขและดีกว่าเดิม”
แม้ในวันนี้การทำงานอาจจะมีข้อติดขัดบ้าง แต่นั้นไม่ใช่อุปสรรค?
“ถึงวันนี้กรรมการทุกคนจะทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน หรือแม้ว่าลูกจะเป็นหรือไม่ได้เป็นเด็ก ซี.ซี.เอฟ. แล้ว แต่กรรมการทุกคนก็มักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะทำงานจิตอาสาพัฒนาเด็กและเยาวชน ชุมชน ของเราต่อไปให้ถึงที่สุด ทั้งนี้เพื่อความสำเร็จ ความสุข ของเด็กและเยาวชน ชุมชนของบ้านเรา ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำให้เรา? ”